นอร์ซาซิน
+3
+2

นอร์ซาซิน

Home/Store/ยา และ สมุนไพรไทย
$4.00
In stock
Product Details

วิธีใช้ยานอร์ซาซิน

  • สำหรับการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ที่มีสาเหตุมาจากเชื้ออีโคไล (Escherichia coli), เชื้อเคลบเซลลา นิวโมเนีย (Klebsiella pneumoniae) หรือเชื้อโปรเตียสมิราบิลิส (Proteus mirabilis) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน ส่วนการติดเชื้ออื่น ๆ ให้รับประทานในขนาด 400 มิลลิกรัม ทุก 12 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 7-10 วัน

  • สำหรับโรคอหิวาต์ (Cholera) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน
  • สำหรับโรคบิดชิเกลลา (Shigellosis) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน (ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจจำเป็นต้องรับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลา 7-10 วัน)
  • สำหรับไข้ไทฟอยด์ (Salmonella Enteric fever) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 14 วัน
  • สำหรับ Campylobacter Gastroenteritis ในผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน
  • สำหรับ Salmonella Gastroenteritis ในผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน
  • สำหรับอาการท้องเสียจากการท่องเที่ยว (Traveler’s diarrhea) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน (ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจจำเป็นต้องรับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลา 7-14 วัน)
  • สำหรับต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis) ทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง ในผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 28 วัน
  • สำหรับกรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 14 วัน
  • สำหรับการอักเสบของท่อเก็บเชื้ออสุจิ (Epididymitis) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 14 วัน
  • สำหรับการติดเชื้อหนองใน (Gonorrhea) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานยาในขนาด 800 มิลลิกรัม เพียงครั้งเดียว

คำแนะนำในการใช้ยานอร์ซาซิน

  • ให้รับประทานยานี้ในขณะที่ท้องว่าง (ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง เนื่องจากการรับประทานยาพร้อมอาหารจะมีผลลดการดูดซึมของยา) แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ และในระหว่างวันควรดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วยเพื่อช่วยลดอาการอันไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้
  • หากกำลังใช้ยาลดกรดอยู่ ให้รับประทานยานอร์ฟล็อกซาซินไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมงก่อนหรือหลังรับประทานยาลดกรด (ไม่ควรรับประทานยานี้พร้อมกับยาลดกรด เพราะยาลดกรดอาจทำให้ยานี้ออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่) นอกจากนี้อาหารและผลิตภัณฑ์ประเภทนม เครื่องดื่มที่มีสารกาเฟอีน ก็สามารถลดการดูดซึมของยานอร์ฟล็อกซาซินได้ และนมยังมีแคลเซียมในปริมาณสูงอีกด้วย จึงควรรับประทานยานอร์ฟล็อกซาซินก่อนอาหารหรือผลิตภัณฑ์ประเภทนมไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหารหรือผลิตภัณฑ์ประเภทนมไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง
  • ขนาดการใช้ยาดังกล่าวเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น โดยขนาดยาและระยะเวลาที่ใช้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละโรค แต่ละบุคคล ผู้ป่วยจึงควรใช้ยานี้ตามที่แพทย์สั่ง เภสัชกรแนะนำ หรือตามที่ระบุไว้บนฉลากยาอย่างเคร่งครัด
  • ควรรับประทานยาให้ตรงเวลา ไม่ลืมรับประทานยา และห้ามใช้ยาในขนาดที่น้อยกว่าหรือมากกว่าที่ระบุไว้ หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
  • ให้รับประทานยานี้ติดต่อกันจนครบช่วงการรักษา แม้ว่าอาการจะดีขึ้นหลังจากใช้ยาไปได้ 2-3 วันแล้วก็ตาม (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อและความรุนแรงของการติดเชื้อ) เพราะการหยุดใช้ยาก่อนครบช่วงการรักษา เชื้ออาจยังหลงเหลืออยู่และกลับมาเป็นซ้ำอีก หรืออาจชักนำให้เกิดเชื้อที่ดื้อยาและทำให้ยากต่อการรักษาในภายหลัง
  • หากใช้ยานี้แล้วอาการไม่ได้ขึ้นภายใน 2-3 วัน หรือมีอาการแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์

สรรพคุณของยานอร์ซาซิน

ใช้เป็นยารักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียชนิดแกรมลบ (Gram-negative bacteria) ได้แก่

  • การติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร (ใช้แก้ท้องเสียที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย) เช่น อหิวาต์ (Cholera), บิดไม่มีตัวหรือบิดชิเกลลา (Shigellosis), ไข้ไทฟอยด์ (Salmonella Enteric fever), อาการท้องเสียจากการท่องเที่ยว (Traveler’s diarrhea) เป็นต้น
  • การติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis), ต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis), กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis), หนองใน (Gonorrhea), การอักเสบของท่อเก็บเชื้ออสุจิ (Epididymitis) เป็นต้น

กลไกการออกฤทธิ์ของยานอร์ซาซิน

ยานอร์ฟล็อกซาซินจะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของสารเคมีบางตัว เช่น สารดีเอ็นเอไจเรส (DNA Gyrase) ซึ่งอยู่ในขบวนการสร้างสารพันธุกรรมในแบคทีเรีย ส่งผลทำให้การขยายตัวและแพร่พันธุ์ของแบคทีเรียลดลง

ยานี้จะถูกดูดซึมได้ดีจากระบบทางเดินอาหารประมาณ 30-40% ของยาที่บริโภค (การดูดซึมของยานี้จะถูกรบกวนเมื่อรับประทานพร้อมกับอาหาร) และพบว่าความเข้มข้นของยาในกระแสเลือดจะมีระดับสูงสุดภายใน 1-2 ชั่วโมงหลังจากที่รับประทานยา แล้วยาจะถูกขับออกมากับอุจจาระและปัสสาวะ หากใช้ยานี้กับผู้ป่วยที่มีภาวะไตผิดปกติ อาจทำให้ระดับของยานอร์ฟล็อกซาซินตกค้างอยู่ในร่างกายนานขึ้น

ก่อนใช้ยานอร์ซาซิน

เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิด รวมถึงยานอร์ซาซิน สิ่งที่ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบมีดังนี้

  • ประวัติการแพ้ยาทุกชนิด โดยเฉพาะยานอร์ฟล็อกซาซิน (Norfloxacin) และยาในกลุ่มควิโนโลน (Quinolone) เช่น กรดนาลิดิซิก (Nalidixic acid), ไซโพรฟล็อกซาซิน (Ciprofloxacin), โลมีฟล็อกซาซิน (Lomefloxacin), โอฟล็อกซาซิน (Ofloxacin), พีฟล็อกซาซิน (Pefloxacin), ลีโวฟล็อกซาซิน (Levofloxacin), กาติฟล็อกซาซิน (Gatifloxacin), มอกซิฟล็อกซาซิน (Moxifloxacin) เป็นต้น รวมถึงการแพ้สารอื่น ๆ เช่น อาหาร สารกันบูด หรือสี และอาการจากการแพ้ เช่น รับประทานยาแล้วคลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือแน่น หายใจติดขัด/หายใจลำบาก เป็นต้น
  • โรคประจำตัวต่าง ๆ ยาที่แพทย์สั่งจ่ายและยาที่ใช้เอง โดยเฉพาะยาเม็ดคุมกำเนิด รวมถึงอาหารเสริม วิตามิน และยาสมุนไพรต่าง ๆ ที่กำลังใช้อยู่ หรือกำลังจะใช้ เพราะยานอร์ฟล็อกซาซินอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรือเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่น ๆ ที่รับประทานอยู่ก่อนได้ (ในบางกรณีจะไม่สามารถใช้ยาที่มีปฏิกิริยาต่อกันระหว่างยาร่วมกันได้เลย แต่บางกรณีก็จำเป็นต้องใช้ยา 2 ชนิดร่วมกัน แม้ว่าจะมีปฏิกิริยาต่อกันระหว่างยาเกิดขึ้นได้ก็ตาม ซึ่งในกรณีนี้แพทย์จะปรับเปลี่ยนขนาดยาหรือเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ให้มากขึ้น) เช่น
    • การรับประทานยานอร์ฟล็อกซาซินร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin)), ยาป้องกันการชัก (เช่น เฟนิโทอิน (Phenytoin)) หรือยาขยายหลอดลม (เช่น ทีโอฟิลลีน (Theophylline), ยาอะมิโนฟิลลีน (Aminophylline) เป็นต้น) นอร์ฟล็อกซาซินสามารถเสริมฤทธิ์ของยาเหล่านี้ได้
    • การรับประทานยานอร์ฟล็อกซาซินร่วมกับยาลดกรด อาจทำให้การดูดซึมของยานอร์ฟล็อกซาซินเข้าสู่ร่างกายได้น้อยลง
    • การรับประทานยานอร์ฟล็อกซาซินร่วมกับยาลดกรดยูริกโพรเบเนซิด (Probenecid) จะเพิ่มการขับยานอร์ฟล็อกซาซินออกจากร่างกายได้เร็วยิ่งขึ้น
    • ยาอื่น ๆ ที่อาจมีปฏิกิริยาต่อกันระหว่างยา ได้แก่ ยาลดกรด (เช่น อะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (Aluminium hydroxide), แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ (Magnesium hydroxide) เป็นต้น), ยาบำรุงร่างกายที่มีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ (เช่น เฟอร์รัสฟูมาเรต (Ferrous fumarate), เฟอร์รัสซัลเฟต (Ferrous sulfate), เฟอร์รัสกลูโคเนต (Ferrous gluconate ), เฟอร์ริกฟอสเฟต (Ferric phosphate) เป็นต้น), ยารักษาโรคเอดส์ไดดาโนซีน (Didanosine) เป็นต้น
  • มีหรือเคยมีความบกพร่องของการทำงานของตับหรือไต, โรคลมชัก, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคทางสมองหรือไขสันหลัง, โรคลำไส้อักเสบ, โรคเกี่ยวกับท้องหรือกระเพาะอาหาร, กล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดร้าย หรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็น
  • สำหรับสุภาพสตรี ควรแจ้งว่ามีการตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนในการตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายชนิดสามารถผ่านทางรกหรือน้ำนมและเข้าสู่ทารกจนอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อทารกได้
  • หากต้องเข้ารับการผ่าตัด (รวมทั้งการผ่าตัดในช่องปาก) ควรแจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบก่อนทำการรักษา

ข้อห้าม/ข้อควรระวังในการใช้ยานอร์ซาซิน

  • ห้ามใช้ยานี้กับผู้ที่เคยมีประวัติการแพ้ยานอร์ฟล็อกซาซิน และยากลุ่มควิโนโลน
  • ห้ามใช้ยานี้ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี (ทั้งเด็กทารก เด็กเล็ก และเด็กโต) เนื่องจากมีรายงานว่ายานอร์ฟล็อกซาซินมีผลรบกวนการเจริญเติบโตของกระดูกในสัตว์ทดลองที่มีอายุน้อย อย่างไรก็ตาม แพทย์อาจให้ใช้ยานี้หากไม่สามารถใช้ยาอื่นได้
  • ห้ามใช้ยานี้ในหญิงตั้งครรภ์ เพราะจากการศึกษาในสัตว์ทดลองที่ยังมีการเจริญเติบโตไม่เต็มที่หรือที่ยังเป็นตัวอ่อนพบว่า ยานอร์ฟล็อกซาซินมีผลทำให้การเจริญเติบโตของกระดูกผิดปกติ (โดยหลักจริยธรรมแล้วจะไม่สามารถศึกษาผลกระทบนี้ต่อทารกในครรภ์ของคนได้โดยตรง แพทย์จึงใช้ผลการศึกษาในสัตว์ทดลองนำมาเป็นคำแนะนำและข้อปฏิบัติแทน)
  • ห้ามใช้ยานี้ในหญิงให้นมบุตร เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลว่ายานอร์ฟล็อกซาซินสามารถผ่านออกมาทางน้ำนมได้หรือไม่
  • ควรระมัดระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชัก ผู้ที่มีประวัติการบาดเจ็บทางระบบประสาทส่วนกลาง และผู้ป่วยที่เป็นโรคตับและ/หรือโรคไต
  • ยานี้อาจทำให้ผิวหนังไวต่อแสงมากขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง (โดยเฉพาะแสงแดดเวลา 10 โมงเช้า ถึง 3 โมงเย็น) ไม่ทำงานหรืออยู่ที่มีแสงแดดส่องเป็นเวลานาน ๆ และควรป้องกันตัวเองจากแสงแดดร่วมด้วยเสมอ เช่น สวมเสื้อผ้า หมวก และแว่นตาป้องกันแสงแดด และทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ไม่น้อยกว่า 15 เป็นประจำ โดยอาการแพ้แสงแดดอาจเป็นอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์หรือนานกว่านั้นหลังจากหยุดใช้ยานี้ไปแล้ว หากมีอาการแพ้แดดรุนแรงควรปรึกษาแพทย์
  • ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ เซื่องซึม หรือง่วงนอน ในระหว่างการใช้ยานี้จึงไม่ควรขับขี่ยานพาหนะ ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรหรือของมีคม หรือทำงานเสี่ยงอันตราย

การเก็บรักษายานอร์ซาซิน

  • ควรเก็บยานี้ในภาชนะบรรจุเดิมที่บรรจุมา ปิดให้สนิท (ควรเป็นภาชนะที่ป้องกันแสงได้ เช่น ขวดหรือซองสีชา) และเก็บยาให้พ้นมือเด็ก
  • ควรเก็บยานี้ในอุณหภูมิห้อง เก็บยาให้พ้นแสงแดด ไม่ให้อยู่ในที่ร้อนมากกว่า 30 องศาเซลเซียส (เช่น ในรถยนต์ บริเวณใกล้หน้าต่าง) และไม่เก็บยาในบริเวณที่เปียกหรือชื้น (เช่น ในห้องน้ำ)
  • ให้ทิ้งยาที่เสื่อมสภาพหรือหมดอายุแล้ว

เมื่อลืมรับประทานยานอร์ซาซิน

โดยทั่วไปเมื่อลืมรับประทานยานอร์ฟล็อกซาซิน สามารถรับประทานยาในทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ แต่ถ้าเป็นเวลาที่ใกล้เคียงกับมื้อต่อไป ให้ข้ามไปรับประทานยามื้อต่อไปได้เลย โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า

ผลข้างเคียงของยานอร์ซาซิน

  • อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา เนื่องจากร่างกายจะปรับตัวเข้ากับยาได้เอง แต่หากมีอาการดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลานานควรปรึกษาแพทย์ ได้แก่ ปวดศีรษะ, เวียนศีรษะ, คลื่นไส้ อาเจียน, ง่วงนอน, เซื่องซึมหรือง่วงนอน, นอนไม่หลับ, รู้สึกไม่สบายท้อง ปวดท้อง, ท้องร่วง, ท้องผูก, อ่อนเพลีย, เบื่ออาหาร, อ่อนเพลีย, กล้ามเนื้ออ่อนแรง, แพ้แสงแดด เป็นต้น
  • อาการข้างเคียงที่ควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันที ได้แก่ เป็นไข้, กระวนกระวาย สับสน, ประสาทหลอน, การมองเห็นผิดปกติ, หน้าหรือคอบวม, ขาหรือเท้าบวม, มีผื่นขึ้นที่ผิวหนัง แดง คัน, ผิวไหม้หรือพุพอง, หายใจหรือกลืนลำบาก, อ่อนเพลียผิดปกติ, ตัวเหลืองตาเหลือง, ติดเชื้อในช่องคลอด, ปัสสาวะสีเข้มขึ้น, ปัสสาวะมีเลือดปน, อุจจาระสีซีดลงหรือคล้ำขึ้น, อ่อนเพลียผิดปกติ, สั่น, ชักกระตุก, เส้นเอ็นบริเวณไหล่ มือ หรือส้นเท้ามีอาการปวดบวมหรือฉีกขาด เป็นต้น
  • ในกรณีที่รับประทานยานี้ในขนาดสูง ๆ เป็นประจำ อาจเกิดการตกตะกอนของยาในปัสสาวะและเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ เช่น นิ่วในไต
เอกสารอ้างอิง
  1. Drugs.com. “นอร์ฟลอกซาซิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.drugs.com. [05 ต.ค. 2016].
  2. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 1. “นอร์ฟล็อกซาซิน”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 250-251.
  3. เครือข่ายความร่วมมือบริการเภสัชสนเทศ. “ นอร์ฟล๊อกซาซิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : drug.pharmacy.psu.ac.th. [05 ต.ค. 2016].
  4. ยากับคุณ (Ya & You), มูลนิธิเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบยา (วพย.). “นอร์ฟลอกซาซิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.yaandyou.net. [05 ต.ค. 2016].
  5. หาหมอดอทคอม. “ยานอร์ฟลอกซาซิน”. (ภก.อภัย ราษฎรวิจิตร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : haamor.com. [05 ต.ค. 2016].
  6. หน่วยคลังข้อมูลยา, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “นอร์ฟลอกซาซินทำไมห้ามใช้กับยาลดกรด, กินกับนมได้หรือไม่, ผลค้างเคียงต่อยามีอะไรบ้าง หมอให้มาหลายครั้งแต่ละครั้งไม่เคยทานหมดจะมีผลอะไรหรือไม่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.pharmacy.mahidol.ac.th. [05 ต.ค. 2016].
Show More
Have questions?
Share this product with your friends
ShareSharePin it
นอร์ซาซิน
Home/Store/ยา และ สมุนไพรไทย
  • My Account
  • Track Orders
  • Shopping Bag
Display prices in:USD
Skip to main content
Menu
Close
SEATTHAI
Home
Store
Contact us
About
SEATTHAIclub@gmail.com
© 2021 SEATTHAI Club. Photo credits: IG GapWatchtheGap
Report abuse
Made with Ecwid by Lightspeed